เมนู

[802] ผู้ใดเมื่อกำลังเจริญอยู่ กระทำที่พึ่ง
อาศัยให้พินาศไปเสีย ความเจริญของผู้นั้น
ท่านผู้ฉลาดไม่สรรเสริญ นักปราชญ์รังเกียจ
ความพินาศ จึงเพียรพยายามเพื่อจะตัดราก
เหง้าของอันตรายนั้นเสีย.

จบ ปลาสชาดกที่ 10

อรรถกถาปลาสชาดกที่ 10


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
การข่มกิเลส จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า หํโส
ปลาสมวจ
ดังนี้.
เรื่องปัจจุบันจักมีแจ้งในปัญญาสชาดก. ส่วนในชาดกนี้
พระศาสดาตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ขึ้นชื่อว่ากิเลสควรจะรังเกียจแท้ กิเลสแม้จะมีประมาณน้อยก็ทำให้
ถึงความพินาศได้เหมือนหน่อต้นไทร. แม้โบราณกบัณทิตทั้งหลาย
ก็รังเกียจสิ่งที่ควรรังเกียจมาแล้วเหมือนกัน ครั้นตรัสแล้ว ทรงนำเอา
เรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดหงส์ทอง เจริญวัยแล้ว
อยู่ในถ้ำทอง ณ เขาจิตตกูฏ กินข้าวสาลีที่เกิดเองในสระที่เกิดเอง

ณ หิมวันตประเทศแล้วกลับมา. ในหนทางที่พระโพธิสัตว์นั้นไป ๆ
มา ๆ มีต้นทองหลางใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง. พระโพธิสัตว์นั้นแม้เมื่อไป
ก็พักที่ต้นทองหลางนั้นแล้วก็ไป แม้เมื่อกลับมา ก็พักที่ต้นทองหลาง
นั้นแล้วจึงมา. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์นั้นได้มีความคุ้นเคยกับเทวดา
ผู้บังเกิดอยู่ที่ต้นทองหลางนั้น เวลาต่อมา นางนกตัวหนึ่งกินผลไทร
สุกที่ต้นไทรต้นหนึ่ง แล้วบินมาจับที่ต้นทองหลางนั้น ถ่ายคูถลงใน
ระหว่างค่าคบ. แต่นั้นจึงเกิดหน่อไทรขึ้น. ในเวลามีขนาดได้ 4 นิ้ว
ต้นทองหลางงดงาม เพราะเป็นต้นทองหลางที่มีหน่อแดงและใบเขียว
พระยาหงส์เห็นดังนั้น จึงเรียกรุกขเทวดามาพูดว่า ท่านปลาสเทวดา
ผู้สหาย ธรรมดาตันไทรเกิดที่ต้นไม้ใด เมื่อโตขึ้นย่อมทำต้นไม้นั้น
ให้ฉิบหาย ท่านจงอย่าให้ต้นไม้นี้เติบโตเลย มันจักทำวิมานของท่าน
ให้พินาศ ท่านจงถอนมันทิ้งเสียก่อนทีเดียว ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่ควรจะ
รังเกียจ ก็ควรจะรังเกียจ เมื่อปรึกษากับปลาสเทวดา จึงกล่าวคาถา
ที่ 1 ว่า :-
พระยาหงส์ได้กล่าวกะปลาสเทวดาว่า
ดูก่อนสหาย ต้นไทรเกิดติดอยู่ที่ค่าคบของ
ท่านแล้ว มันเจริญเติบโตขึ้นจะตัดสิ่งอัน
เป็นที่รักของท่านเสีย.

ก็บาทที่หนึ่งในคาถานี้ พระศาสดาทรงเป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะ
แล้วจึงตรัสไว้. บทว่า ปลาสํ ได้แก่ ปลาสเทวดา. บทว่า สมฺม

แปลว่า เพื่อน. บทว่า องฺกสฺมึ ได้แก่ ที่ค่าคบ. บทว่า โส เต
มมฺมานิ เฉจฺฉติ
ความว่า ต้นไทรนั้นเจริญเติบโตที่ค่าคบนั้นแล้ว
จักตัดชีวิตประดุจข้าศึกฉะนั้น. จริงอยู่ สังขารที่มีชีวิตท่านเรียกว่า
มัมมะ ในที่นี้.
ปลาสเทวดาได้ฟังดังนั้น มิได้เชื่อถือคำของพระโพธิสัตว์นั้น
จึงกล่าวคาถาที่ 2 ว่า :-
ต้นไทรจงเจริญเติบโตเถิด ข้าพเจ้าจะ
เป็นที่พึ่งของมัน ต้นไทรนี้จักเป็นที่พึ่งของ
ข้าพเจ้า เหมือนมารดาบดาเป็นที่พึงของบุตร
แล้วบุตรกลับเป็นที่พึ่งของมารดาบิดา ฉะนั้น.

คำอันเป็นคาถานั้น มีความว่า ดูก่อนสหาย ท่านยังไม่รู้
ต้นไทรนี้จะเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าในตอนมันเติบโต ข้าพเจ้าจักเป็น
ที่พึ่งของต้นไทรนี้เหมือนมารดาบิดาเป็นที่พึ่งของบุตรในคราวเป็นเด็ก
อ่อนฉะนั้น อนึ่ง ต้นไทรนี้จักเป็นที่พึ่งแม้ของข้าพเจ้าในภายหลัง
ตอนแก่ เหมือนบุตรเติบโตขึ้นแล้ว ย่อมเป็นที่พึ่งของมารดาบิดาใน
ภายหลังตอนแก่ ฉะนั้น.
ลำดับนั้น พระยาหงส์ จึงกล่าวคาถาที่ 3 ว่า :-
ท่านให้ต้นไม้ซึ่งอาจนำภัยมาดังข้าศึก
เจริญเติบโตขึ้นที่ค่าคบเพราะเหตุใด เหตุนั้น

เราขอบอกท่านให้รู้แล้วจะไป ความเจริญ
เติบโตของต้นไทรนั้น ข้าพเจ้าไม่ชอบใจ
เลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ ตฺวํ ความว่า เพราะเหตุที่
ท่านให้เกษียรพฤกษ์นี้ชื่อว่าน่ากลัว เพราะเป็นผู้ให้ความน่ากลัว
ประดุจข้าศึก เจริญอยู่ที่ค่าคบ. บทว่า อามนฺต โข ตํ ความว่า
เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงเรียกท่านมาปรึกษาให้รู้แล้วก็จะไป. บทว่า
วุฑฺฒิมสฺส ความว่า ความเจริญของต้นไทรนั้น ไม่ชอบใจข้าพเจ้า
เลย.
ก็แหละพระยาหงส์ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงกางปีกบินไปยัง
ภูเขาจิตตกูฏทีเดียว. ตั้งแต่นั้นก็ไม่ได้มาอีกเลย. ในเวลาต่อมา ต้นไทร
ก็เจริญเติบโตขึ้น. ก็มีรุกขเทวดาตนหนึ่งบังเกิดที่ต้นไทรนั้น. ต้นไทร
นั้นเจริญขึ้นหักรานต้นทองหลาง วิมานของเทวดาพร้อมกับกิ่งไม้
ทั้งหลายก็ร่วงลงไป. ในกาลนั้น เทวดานั้นจึงกำหนดคำของพระยา-
หงส์ได้ ร่ำไห้ว่า พระยาหงส์เห็นภัยในอนาคตข้อนี้จึงกล่าวไว้ ส่วน
เราไม่กระทำตามคำพูดของพระยาหงส์ แล้วกล่าวคาถาที่ 4 ว่า :-
บัดนี้ ต้นไทรนี้ทำให้เราหวาดกลัว ภัย
อันใหญ่หลวงได้มาถึงเรา เพราะไม่รู้สึกถึง
คำของพระยาหงส์ อันใหญ่หลวงซึ่งควร
เปรียบด้วยขนเขาสิเนรุราช.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิทานิ โข นํ ภายติ ความว่า
ต้นไทรนี้ทำให้เรายินดีในตอนยังอ่อน บัดนี้ ทำให้กลัวหวาดสะดุ้ง.
บทว่า มหาเนรุนิทสฺสนํ ความว่า เพราะได้ฟังคำของพระยาหงส์
อันใหญ่หลวงดุจภูเขาสิเนรุ แล้วไม่รู้สุกจึงได้ถอนต้นไทรนี้เสียใน
คราวยังอ่อนอยู่. ด้วยบทว่า มหา เม ภยมาคตํ นี้ เทวดาคร่ำ
ครวญว่า บัดนี้ ภัยใหญ่มาถึงเราแล้ว.
ฝ่ายต้นไทรก็เจริญเติบโตขึ้นหักรานต้นทองหลางทั้งต้นได้กระ
ทำให้เป็นสักแต่ตอเท่านั้น. วิมานของเทวดาก็หายไปหมดสิ้น.
ผู้ใดเมื่อเจริญขึ้นทำที่พึ่งอาศัยให้พินาศ
ไปเสีย ความเจริญของผู้นั้น ผู้ฉลาดไม่
สรรเสริญ นักปราชญ์รังเกียจความพินาศ
จึงเพียรพยายามตัดรากเหง้าของอันตรายนั้น
เสีย.

คาถาที่ 5 ดังกล่าวมานี้ เป็นอภิสัมพุทธคาถา.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุสลปฺปสตฺถา ความว่า อันท่าน
ผู้ฉลาดทั้งหลายสรรเสริญแล้ว. บทว่า ฆสเต แปลว่า ย่อมกิน
อธิบายว่า ทำให้พินาศ. บทว่า ปตารยิ แปลว่า ย่อมกลิ้งเกลือก
คือ ย่อมพยายาม. ทรงอธิบายไว้ดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใด.
เจริญขึ้นทำที่พึ่งอาศัยของตนให้พินาศ ความเจริญของผู้นั้น บัณฑิต
ไม่สรรเสริญ ส่วนนักปราชญ์ คือท่านผู้สมบูรณ์ความรู้รังเกียจความ

ดับคือความพินาศอย่างนี้ว่า ความดับสูญจักมีแก่เรา เพราะอันตราย
นี้ย่อมพากเพียรเพื่อขจัดรากเหง้าของอันตรายทั้งภายในหรือภายนอก
นั้นเสีย.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงประกาศ
สัจจะแล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุ 500 รูป ได้
บรรลุพระอรหัต. หงส์ทองในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาปลาสชาดกที่ 10
รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ
1. วรรณาโรหชาดก 2. สีลวีมังสชาดก 3. หิริชาดก
4. ขัชโชปนกชาดก 5. อหิตุณฑิกชาดก 6. คุมพิยชาดก
7. สาลิยชาดก 8. ตจสารชาดก 9. มิตตวินทุกชาดก
10. ปลาสชาดก.
จบ วรรณาโรหวรรคที่ 2

3. อัฑฒวรรค


1. ทีฆีติโกสลชาดก


ว่าด้วยเวรย่อมไม่ระงับด้วยเวร


[803] ข้าแต่พระราช เมื่อพระองค์ตกอยู่ใน
อำนาจของข้าพระองค์อย่างนี้แล้ว เหตุอันใด
อันหนึ่งที่จะทำให้พระองค์พ้นจากทุกข์ได้ มี
อยู่หรือ.
[804] พ่อเอ๋ย เมื่อฉันตกอยู่ในอำนาจของท่าน
ถึงอย่างนี้แล้ว เหตุอันใดอันหนึ่งที่จะทำให้
ฉันพ้นจากทุกข์ได้ ไม่มีเลย.
[805] ข้าแต่พระราชา เว้นสุจริตและวาจา
สุภาษิตเสีย เหตุอย่างอื่นจะป้องกันได้ใน
เวลาใกล้มรณกาล ไม่มีเลย ทรัพย์นอกนี้ก็
เหมือนกันแหละ.
[806] ชนเหล่าใดเข้าไปผูกเวรว่า คนนี้ได้ด่า
เรา คนนี้ได้ฆ่าเรา คนนี้ได้ชนะเรา คนนี้
ได้ลักของ ๆ เรา เวรของชนเหล่านั้นย่อมไม่
สงบ ส่วนชนเหล่าใดไม่เข้าไปผูกเวรว่า คน